เริ่มจากปลายเดือนกันยายน 2566 เปิดตัว Mercedes-EQE 350 4MATIC SUV AMG Dynamic และ
Mercedes-AMG EQE 53 4MATIC+ ราคา 5,300,000 บาท และ ราคา 5,650,000 บาท ตามลำดับ
ราคานี้ค่อนข้างแรงสักหน่อย สำหรับรถ BEV ด้วยตำแหน่งผลิตภัณฑ์ของรถระดับหรู พร้อมด้วยเทคโนโลยี และวัสดุแต่งชั้นดี ทำให้ SUV ขนาดกลางของ เมอร์เซเดส ขยับขึ้นไปเกินคันละ 5 ล้านบาท แต่เมื่อ 19 ตุลาคมที่ผ่านมา เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ปรับรายละเอียดตัวรถเล็กน้อง เปิดตัว Mercedes-EQE 350 4MATIC SUV ในรุ่นย่อย Electric Art ตกแต่งด้วยชุดแต่ง Electric Art Exterior Package อีก 1 รุ่นในราคา 4,850,000 บาท
ในรุ่น EQE 350 4MATIC SUV AMG Dynamic นั้น มิติตัวถังขนาดความยาว 4,863 มม. ความกว้าง 1,940 มม. ความสูง 1,685 มม. และระยะฐานล้อ 3,030 มม. ภายนอกตกแต่งด้วยชุดแต่ง AMG Exterior Package ดีไซน์กระจังหน้าแบบ Mercedes-Benz pattern ทัศนวิสัยขั้นสูงสุดในการขับขี่และผู้โดยสารด้วยไฟหน้า DIGITAL LIGHT ให้ความละเอียดสูงถึง 1.3 ล้านพิกเซลต่อ 1 โคมหลอด แบบ HD system พร้อมเทคโนโลยี ULTRA RANGE Highbeam ส่องสว่างได้ไกลถึง 650 เมตร
หลังดีไซน์ไฟท้าย 3D helix design แบบคาดยาวตลอดช่วงท้ายรถ ติดตั้งล้ออัลลอยด์แบบ AMG Multi-spoke ขนาด 21 นิ้ว ผสานการทำงานด้วยระบบกันสะเทือนแบบถุงลม (AIRMATIC) ช่วยยกระดับการขับขี่ให้เป็นไปอย่างนุ่มนวลและน่าประทับใจไปอีกขั้น นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งระบบกุญแจแบบ KEYLESS-GO พร้อมมือจับประตูแบบไร้รอยต่อ
เรื่องสมรรถนะตัวรถ ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ Permanently Excited Synchronous Motors (PSM) ให้กำลังรวมสูงสุด 292 แรงม้า แรงบิดรวมสูงสุด 765 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพียง 6.6 วินาที
ติดตั้งแบตเตอรี่แรงดันสูงแบบลิเธียมไอออน ความจุ 89 kWh ช่วยให้สามารถขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าได้ไกลกว่า 558 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP รองรับการชาร์จพลังงานไฟฟ้าแบบกระแสตรง (DC Charge) สูงสุด 170 kWh ใช้เวลาชาร์จจาก 10 – 80% เพียง 31 นาที ส่วนการชาร์จแบบกระแสสลับ (AC Charge) รองรับสูงสุด 11 kWh ใช้เวลาชาร์จจาก 0 – 100% ในระยะเวลา 9 ชั่วโมง 30 นาที
ห้องโดยสารให้ความกว้างขวาง หรูหราตามแบบฉบับเมอร์เซเดส-เบนซ์ ตกแต่งแบบ AMG Line Interior ติดตั้งพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบสปอร์ต หุ้มด้วยหนัง Nappa เบาะคู่หน้า Sport seats ปรับระดับด้วยไฟฟ้า
หน้าจอแสดงผลบริเวณแผงคอนโซลกลาง MBUX Hyperscreen ขนาด 56 นิ้ว ออกแบบตามแนวคิด Zero Layer Concept โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ประกอบไปด้วย หน้าจอ OLED ตรงกลางขนาด 17.7 นิ้ว ฝั่งซ้าย 12.3 นิ้วสำหรับผู้โดยสารตอนหน้า และหน้าจอ LED แสดงผลการขับขี่ขนาด 12.3 นิ้ว สำหรับผู้ขับขี่ พร้อมจอแสดงผลแบบ Head-up Display และสามารถควบคุมระบบการขับขี่ด้วยการสัมผัสบริเวณจอกลางผ่านฟังก์ชั่น DYNAMIC SELECTED ปรับโหมดการขับขี่ได้ทั้งแบบ ECO, COMFORT, SPORT, INDIVIDUAL และโหมด OFFROAD ซึ่งเป็นโหมดสำหรับการขับขี่ในรูปแบบ Off-Road โดยเฉพาะ ในห้องโดยสารติดตั้งหลังคาพาโนรามิคซันรูฟ เปิด – ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า
ระบบแผนที่นำทางแบบ Hard-disc navigation ด้วยแผนที่แบบ 3 มิติ ระบบสแกนลายนิ้วมือและ Face ID ยืนยันผู้ใช้งาน และอุปกรณ์สื่อสารด้วยสัญญาณ LTE สำหรับบริการ Mercedes me connect ผสานการทำงานกับระบบมัลติมีเดียแบบ MBUX มอบความรื่นรมย์ด้วยระบบความบันเทิงภายในรถด้วย Active Ambient Lighting กว่า 64 เฉดสี ที่จะช่วยสร้างบรรยากาศที่หลากหลายให้กับห้องโดยสาร นอกจากนี้ยังติดตั้งระบบเสียงรอบทิศทางแบบ Burmester® 3D surround sound system ทรงพลังด้วยลำโพงคุณภาพสูง 15 ตัว รอบห้องโดยสารที่มีกำลังขับขนาด 710 วัตต์
ระบบความปลอดภัยแบบ Active Safety อาทิ ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (ATTENTION ASSIST) ระบบรักษารถให้อยู่ในช่องทางจราจร (Active Lane Keeping Assist) ระบบช่วยเบรกแบบแอ็คทีฟ (Active Brake Assist) ระบบช่วยจำกัดความเร็วแบบแอ็คทีฟ (Speed Limit Assist) ฯลฯ
นอกจากนี้ยังมีระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติในกรณีฉุกเฉิน (Active Emergency Stop Assist) ในกรณีที่คนขับไม่มีการตอบสนองต่อการขับขี่เป็นเวลานาน และการติดตั้งกล้องรอบคันแบบ 360° ให้การแสดงผลแบบ Transparent bonnet ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถมองเห็นภาพจริงในจุดอับสายตาบริเวณหน้ารถและใต้ท้องรถขณะขับขี่ด้วยโหมด OFFROAD
ส่วนในตัว Electric Art ติดตั้งไฟหน้าแบบ LED High Performance headlamps ที่ให้คุณภาพแสงสีขาวนวลอย่างสม่ำเสมอ พร้อมระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Adaptive Highbeam Assist ช่วงล่างมีการติดตั้งล้ออัลลอยด์ดีไซน์สปอร์ตแบบ 5 ก้าน ขนาด 20 นิ้ว
ภายในห้องโดยสารตกแต่งแบบ Electric Art interior วัสดุตกแต่งแบบ Laser-cut backlit trim with Mercedes-Benz pattern สะดวกสบายด้วยเบาะนั่ง Comfort Seats และพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบสปอร์ตหุ้มหนัง พร้อมหน้าจอแสดงผลบริเวณคอนโซลกลางแบบ OLED ขนาด 12.8 นิ้ว และหน้าจอสำหรับผู้ขับขี่ขนาด 12.3 นิ้ว ในเรื่องสมรรถนะ โหมดการขับขี่ และระบบความปลอดภัย อยู่ในมาตรฐานเดียวกันกับ AMG Dynamic
ขณะที่รุ่น AMG EQE 53 4MATIC+ มาในสมรรถนะเหนือกว่า 2 รุ่นแรก จากจากมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ Permanently Excited Synchronous Motors ให้กำลังสูงสุด 625 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 950 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลาเพียง 3.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 220 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ขับเคลื่อนด้วยระบบขับเคลื่อนแบบ AMG Performance 4MATIC+ แบบ all-wheel drive สามารถใช้งานได้หลากหลายรูปแบบและปรับการส่งกำลังของมอเตอร์ทั้งสองได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่บนถนนปกติหรือในสนามแข่ง รวมถึงปรับการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ชุดหลังเพียงอย่างเดียวในขณะที่ผู้ขับขี่ต้องการที่จะขับขี่ในรูปแบบ Drift ในด้านของแหล่งพลังงาน
ติดตั้งแบตเตอรี่แรงดันสูงแบบลิเธียมไอออน ที่มีความจุ 90.6 kWh ให้แรงดันไฟสูงสุด 328 โวลต์ มีระยะทางขับขี่สูงสุด 526 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP รองรับการชาร์จพลังงานไฟฟ้าแบบกระแสตรง สูงสุด 170 kWh ใช้เวลาชาร์จจาก 0 – 80% เพียง 32 นาที ส่วนการชาร์จแบบกระแสสลับ ผ่าน On-board Charger รองรับสูงสุด 22 kWh ใช้เวลาชาร์จจาก 0 – 100% ในระยะเวลา 4 ชั่วโมง 45 นาที
ระบบเบรกแบบสมรรถนะสูงอย่าง AMG high-performance brake system สามารถควบคุมได้อย่างแม่นยำทุกสภาวะการขับขี่ พร้อมจานเบรกที่มีช่องระบายอากาศบริเวณด้านข้างเพื่อลดอุณหภูมิของจานเบรกเมื่อมีการใช้งานในความเร็วสูง และตกแต่งคาลิเปอร์เบรกด้วยสีแดงตามแบบฉบับของ AMG โดยด้านหน้าเป็นคาลิเปอร์แบบ 6-piston และจานเบรกขนาด 415 x 33 มิลลิเมตร
ด้านหลังเป็นแบบ single-piston และจานเบรกขนาด 378 x 22 มิลลิเมตร อีกทั้งยังสามารถเลือกโหมดการขับขี่ AMG DYNAMIC SELECT ได้ทั้งหมด 5 รูปแบบตามความเหมาะสม โดยที่มีการส่งกำลังในระดับที่ต่างกัน เริ่มตั้งแต่โหมด Slippery (50% Output) Comfort (80% Output) Sport (90% Output) Sport+ (100% Output) และ RACE START (100% Output) โดยกำลังสูงสุดของรถ (460 kW / 625 hp) จะสามารถใช้ได้ภายใต้โหมดการขับขี่ Sport+ หรือการออกตัวด้วย RACE START เท่านั้น
ตกแต่ง AMG Exterior Package เน้นความหรูหราด้วยวัสดุสีดำ High-gloss กระจังหน้าสีดำรูปแบบเฉพาะของ AMG และกันชนแบบสปอร์ต ติดตั้งไฟหน้า DIGITAL LIGHT แบบ ULTRA RANGE Highbeam ที่ส่องสว่างไกลกว่า 600 เมตร ด้านบนเป็นหลังคาพาโนรามิคซันรูฟ เปิด – ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า ด้านล่างติดตั้งล้ออัลลอยด์ขนาด 21 นิ้ว แบบ AMG Y-Spoke wheel ทำงานผสานกับระบบกันสะเทือนและช่วงล่างแบบ AMG RIDE CONTROL+ ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดย Mercedes-AMG
ระบบถ่ายทอดเสียงเครื่องยนต์อย่าง AMG SOUND EXPERIENCE ทั้งใน RACE START และระหว่าง Dynamic Curve Sections โดยทำงานระหว่างลำโพงรูปแบบพิเศษ เครื่องสั่น และเครื่องกำเนิดเสียง
เบาะนั่งแบบ AMG Sport Seats ที่มีลวดลายเฉพาะรุ่น AMG พร้อมพวงมาลัยแบบ AMG Performance steering wheel หุ้มหนัง Nappa ช่วยให้การขับขี่เป็นไปได้อย่างคล่องแคล่วและสะดวกสบาย หน้าจอแสดงผลบริเวณแผงคอนโซลกลาง MBUX Hyperscreen ขนาด 56 นิ้ว แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ประกอบไปด้วย หน้าจอ OLED ตรงกลางขนาด 17.7 นิ้ว ฝั่งซ้าย 12.3 นิ้วสำหรับผู้โดยสารตอนหน้า และหน้าจอ LED แสดงผลการขับขี่ขนาด 12.3 นิ้ว สำหรับผู้ขับขี่
สามารถแสดงผลในโหมด AMG ได้โดยเฉพาะ พร้อมจอแสดงผลแบบ Head-up Display และมี AMG Track Pace ให้ผู้ขับขี่สามารถวัดสมรรถนะความเร็วของรถยนต์ พร้อมวิเคราะห์การขับขี่จากการประเมินส่วนบุคคลได้ อีกทั้งยังติดตั้งเทคโนโลยีต่าง ๆ มากมาย อาทิ ระบบนำทาง MBUX augmented reality ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ THERMOTRONIC 4 โซน ระบบฟอกอากาศแบบ ENERGIZING AIR CONTROL และระบบชาร์จไร้สายสำหรับที่นั่งด้านหน้า ปิดท้ายด้วยระบบเครื่องเสียงรอบทิศทาง Burmester® 3D surround sound system และเทคโนโลยี Dolby Atmos® ที่พร้อมมอบความบันเทิงสูงสุดตลอดการขับขี่
Mercedes-EQE 350 4MATIC ทั้ง 3 รุ่น น่าจะเป็นตัวทำยอดสำหรับรถในกลุ่ม BEV ในชื่อ Mercedes-EQ อีกหลายๆ ปี